พล.ต.ท.จิรภพฯ หัวหน้าศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ร่วมประชุมขับเคลื่อนปราบสแกมกับ 6 ประเทศ
ย้ำ “ต้องปราบที่ต้นตอ – ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิงของแก๊งสแกม”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) พร้อม พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ รองผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และคณะตำรวจไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรี 6 ชาติ ขับเคลื่อนข้อริเริ่มร่วมปราบปรามสแกมออนไลน์–ย้ำไม่ให้มี “Safe Haven” ของแก๊งหลอกลวงในอนุภูมิภาค 6 ประเทศ จีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม


เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ โดยที่ประชุมได้หารือสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติและโทรคมนาคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และสิทธิประโยชน์ของประชาชนทุกประเทศอย่างร้ายแรง และได้บรรลุฉันทามติร่วมในการยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม จนนำไปสู่ “ข้อริเริ่มร่วมว่าด้วยการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ (Joint Initiative to Combat and Govern Telecom and Online Fraud Crimes)”
โดยมีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้
- ปฏิบัติการร่วมกวาดล้าง “สวนสแกม–เขตพนัน–หลอกลวง” และดำเนินการอย่างครบวงจร
- จัดปฏิบัติการร่วม เพื่อล้อมปราบเขต/นิคมที่เป็นฐานพนันออนไลน์และศูนย์สแกม
- จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการสอบสวน–เก็บพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน และพร้อมแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานระหว่างกัน ส่งมอบพยานหลักฐานทางคดีอย่างเป็นระบบ
- ส่งตัวผู้ต้องหากลับประเทศที่ต้องการตัว แบบครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำผิดในต่างประเทศ
- อายัด–ยึด–ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อนำส่งคืนผู้เสียหายหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง
- จัดตั้งกลไกประชุมอย่างเป็นทางการ 6 ฝ่าย ทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับกรม/สำนักงาน
- จัดตั้ง “กลไกระดับรัฐมนตรี 6 ฝ่าย ว่าด้วยการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์”
- จัดประชุมประจำปีโดยหมุนเวียนเจ้าภาพทั้ง 6 ประเทศ เพื่อรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการระยะต่อไป
- ภายใต้กลไกระดับรัฐมนตรี จะมีการประชุมระดับกรม/สำนักงานเป็นประจำ ทำหน้าที่แปลงมติระดับนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงและติดตามผลอย่างใกล้ชิด
- พัฒนาระบบประสานงานคดี–ข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน
- จัดทำและปรับปรุงช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรองเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Call Center เว็บไซต์/แอป ตัวการสำคัญ บัญชีม้า และสกุลเงินดิจิทัล
- กำหนดมาตรฐานร่วมด้านการสอบสวนดิจิทัล
- สนับสนุนการติดตามเส้นทางเงินและข้อมูล เพื่อเชื่อมคดีข้ามประเทศให้เป็น “คดีเดียวกัน”
- ขยายความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี
- สนับสนุนปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
- แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ระบบชำระเงิน และ Crypto Exchange
17/ เชิญชวน NGO และบริษัทเทคโนโลยี ร่วมมือด้านการแชร์ข้อมูล–แจ้งเตือน การปิดเว็บไซต์–ปิดหมายเลข–ปิดบัญชี การวิจัยกฎหมาย–แนวทางปฏิบัติ การพัฒนาเทคโนโลยีและฝึกอบรม (AI, Big Data, OSINT, Blockchain Analytics ฯลฯ) และจัดทำแคมเปญรณรงค์ป้องกันเหยื่อแบบหลายภาษา ข้ามพรมแดน - ยืนยันกรอบยุทธศาสตร์ร่วมภายใต้ความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC) และหลักนิติธรรม
- ทุกประเทศจะใช้กฎหมายภายในของตนอย่างเต็มที่ในการปราบปรามศูนย์สแกมในเขตแดนตนเอง และ ไม่ปล่อยให้มี “Safe Haven” ของแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาค
- ยึดกรอบ Global Security Initiative, Global Governance Initiative และ MLC เป็นทิศทางร่วมด้านความมั่นคง
- เน้นหลักความโปร่งใส ยึดหลักนิติธรรม และผลประโยชน์ร่วมกันเป็นฐานของทุกโครงการความร่วมมือ
ทั้งนี้ ในที่ประชุม พล.ต.ท.จิรภพฯ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล เสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบาย และข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ ยืนยันว่าไทยไม่มีฐานคอลเซ็นเตอร์ หากได้รับแจ้งข่าวว่ามีการลักลอบกระทำผิดที่ใด ทีมงานประสานงานของไทยจะเข้าตรวจค้นจับกุมและรายงานผลให้ประเทศที่แจ้งมาทุกกรณี

นอกจากนี้ยังได้กล่าวอีกว่า ปัญหา “สแกมเซ็นเตอร์” ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมิใช่เพียงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน” ที่ทำร้ายประชาชนทุกประเทศ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเป็นทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง จะดำเนินการอย่างจริงจังและรวดรวดเร็ว โดยให้ทุกประเทศเทศสามารถติดตามตรวจสอบได้ และประเทศไทยก็คาดหวังว่าทุกประเทศจะปฏิบัติต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน
ซึ่งจากผลการสืบสวนเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti-Cyber Scam Center: ACSC) ที่เป็นการบูรณาการข้อมูลจากธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยข่าวกรองทางเทคนิค พบว่าเส้นทางการเงินจากบัญชีม้า ส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่อยู่ IP และสัญญาณเทคนิคจำนวนมากชี้ไปยังพื้นที่นอกประเทศไทย โดยส่วนใหญ่พบว่าศูนย์สแกมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจของบางประเทศในภูมิภาค ซึ่งไทยได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้ประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแล้ว จึงขอความร่วมมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องดำเนินการแบบตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
พล.ต.ท.จิรภพฯ ยังย้ำว่า “การปราบสแกมเมอร์ต้องปราบที่ต้นตอ – ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิงของแก๊งสแกม ซึ่งสำหรับประเทศที่มีฐานปฏิบัติการในดินแดนตนเองต้องรับผิดชอบในการดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยให้ศูนย์สแกมดำรงอยู่ คือการ “ให้ที่พักพิงแก่อาชญากร” ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมและความเป็นมิตรที่แท้จริงระหว่างประเทศ” นอกจากนี้ยังย้ำว่า “ประเทศไทยจะไม่ยอมให้สแกมเซ็นเตอร์มีที่ยืนในประเทศ ทุกเบาะแสที่ได้รับจะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้นผู้ใด อาชญากรรมไม่มีพรมแดน ดังนั้น การปราบปรามก็ต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าตำรวจและผู้บังคับใช้กฎหมายทุกประเทศ ล้วนมีความต้องการช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างจริงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพลเมืองของประเทศใดก็ตาม”
พร้อมกันนี้ พล.ต.ท.จิรภพฯ ยังได้เสนอให้จัดตั้งทีมปฏิบัติการร่วม ทีมเฉพาะกิจระหว่างประเทศ เพื่อเข้าปฏิบัติการทลายฐานสแกมเซ็นเตอร์ในพื้นที่จริง โดยใช้กลไกระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ ACSC โดยตั้งเป้าตอบสนองต่อเบาะแสสำคัญภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังเสนอการสร้างกลไกความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกัน โดยควรมีการรายงานความคืบหน้าต่อประเทศผู้ได้รับผลกระทบอย่างสม่ำเสมอ และ เสนอให้มีคณะทำงานร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบและติดตามผล เพื่อให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าความร่วมมือเกิดขึ้นจริง

โดยเสนอมาตรการเร่งด่วนระดับภูมิภาค ดังนี้
มาตรการที่ 1: ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล Real-time จัดทำฐานข้อมูลกลางของบัญชีม้า หมายเลขโทรศัพท์ และ IP ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถ “บล็อก–อายัด–ตรวจสอบ” ได้พร้อมกัน
มาตรการที่ 2: แต่งตั้งผู้ประสานงานไซเบอร์ประจำการ (Cyber Liaison Officer) ให้แต่ละประเทศส่งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไปประจำการในประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ ทำหน้าที่เป็น “สายตรง” เพื่อให้การขอข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมเกิดขึ้น “ภายในวันเดียว”
มาตรการที่ 3: กำหนดมาตรการร่วมควบคุมโทรคมนาคม เข้มงวดการลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบยืนยันตัวตน (รวมถึง Face Recognition) จำกัดจำนวนซิมต่อบุคคล ติดตามซิมต้องสงสัย และหากพบพื้นที่มีการใช้สัญญาณเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง ให้ร่วมกันพิจารณาการ “ตัดสัญญาณชั่วคราว” จนกว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จ
ซึ่งมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกัมพูชา ซึ่งได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ในการประชุม GBC เพื่อปราบปรามไซเบอร์สแกมโดยเฉพาะ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอยืนยันว่า จะขับเคลื่อนบทบาทของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ให้เป็นศูนย์กลางประสานงานระดับภูมิภาคในการปราบปรามสแกมเมอร์ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมของ 6 ประเทศเป็นรูปธรรม รวดเร็ว และสามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านแล้ว60 times!

