นนทบุรี คลิป เหยื่อร้องโครงการดังระดับประเทศซื้อบ้าน พบคานหาย แบบเพี้ยน แฉรัฐอุ้มนายทุน ทนายกบลุยลากเข้าคดีพิเศษ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 ก.ย.68 ที่สำนักงานกฎหมาย “ทนายกบ บุญเกิด” อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กลุ่มผู้เสียหายจากโครงการหมู่บ้านจัดสรรชื่อดังระดับประเทศแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 5 หลังคาเรือน เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือทางกฎหมายต่อ นายณธัชพงศ์ บุญเกิด หรือ “ทนายกบ” หลังอ้างพบว่าบ้านที่ซื้อมีการก่อสร้างผิดแบบ และหน่วยงานรัฐละเลยการตรวจสอบ โดยผู้ร้องเรียนระบุว่าบ้านราคา 2.6–4 ล้านบาทตั้งอยู่ในซอย 2/5 ของโครงการซึ่งมีประมาณ 24 หลังคาเรือน แต่หลังเข้าอยู่อาศัยไม่นานกลับพบข้อบกพร่องหลายประการ โดยเฉพาะการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต (แบบ อ.1) และไม่พบกระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ทั้งนี้เมื่อปี 2565 มีผู้ได้รับผลกระทบราว 18 หลังคาเรือน หลายรายต้องขายบ้านหรือย้ายออกเพราะหวาดกลัวอิทธิพล เหลือเพียง 5 หลังที่ยังอาศัยอยู่และรวมตัวร้องเรียนครั้งนี้








ด้านนายณภรัก จรัลภวิน อาชีพครีเอทีฟและโปรดิวเซอร์ หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหาย เล่าว่า ความผิดปกติเริ่มตั้งแต่ปี 2565 เมื่อเพื่อนซึ่งเป็นวิศวกรมาเยี่ยมบ้านตนและตั้งข้อสังเกตว่า “โครงสร้างบ้านดูแปลก ไม่เหมือนโซนอื่น ๆ ทั่วๆไป” ตนจึงเริ่มตรวจสอบและพบว่า บ้านของตนมีลักษณะแตกต่างจากบ้านหลังอื่นในโครงการ อีกทั้งยังพบเสียงบันไดดังผิดปกติทุกครั้งที่มีการขึ้น-ลง เมื่อตรวจสอบร่วมกับเพื่อนบ้านพบว่าโครงสร้างบันไดเป็นเพียงโครงเหล็ก ไม่ใช่คอนกรีตเสริมเหล็กตามที่พนักงานขายโฆษณาในโซเชียล อีกทั้งเมื่อขอเอกสารยืนยันการยื่นแบบก่อสร้าง โครงการชี้แจงเพียงปากเปล่าว่า “ยื่นแบบถูกต้อง” แต่ไม่แสดงหลักฐานชัดเจน และผู้มาเจรจาในนามบริษัทอ้างเป็นผู้รับมอบอำนาจแต่ไม่มีหนังสือมอบอำนาจแสดง ทำให้ตรวจสอบความรับผิดชอบไม่ได้ กลุ่มผู้เสียหายจึงร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ภายหลังบริษัทมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาส่งถึงคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดสมุทรปราการ ลงวันที่ 25 เมษายน 2565 ประทับตรา “ด่วนที่สุด” แต่ผู้เสียหายไม่ยอมรับผล จึงยื่นเรื่องต่อ สคบ.ส่วนกลางขอให้พิจารณาใหม่ กระนั้นเรื่องกลับเงียบหายไม่มีความคืบหน้า จึงตัดสินใจยกเลิกกระบวนการร้องเรียนทั้งระดับจังหวัดและส่วนกลาง เหตุเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและกระบวนการตรวจสอบขาดความรอบคอบและเป็นกลาง

ท้ายที่สุด ตนและกลุ่มผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อดำเนินคดีอาญากับบริษัทเจ้าของโครงการฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดอื่น โดยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2565 มีการแจ้งความอย่างเป็นทางการในคดีโครงการหมู่บ้านจัดสรร อ้างว่าบริษัทมีพฤติกรรมโฆษณาเสนอขายบ้านไม่ตรงปก ไม่ตรงแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต (ใบ อ.1) ต่อมา วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 ขณะเข้ารับการสอบปากคำ ได้ถูกชายอ้างเป็นตำรวจนายหนึ่งกล่าวข่มขู่ว่า “คู่กรณีมีอิทธิพล ฟ้องไปก็แพ้” และอ้างว่าบุคคลที่ร่วมอยู่ในห้องเป็น “ผู้กำกับ ส.ค.บ.” ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไม่มีตำรวจในสังกัดโดยตรง ผู้เสียหายจึงร้องเรียนพฤติกรรมดังกล่าวต่อจเรตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงเป็นทางการ
คดีดังกล่าวถูกบันทึกเป็นคดีอาญา โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน ก่อนส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดสมุทรปราการพิจารณา แต่อัยการเห็นว่าเข้าข่ายเพียง “ขายของโดยหลอกลวง” ตามมาตรา 271 ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงให้เปลี่ยนข้อกล่าวหาและส่งสำนวนต่อไป สุดท้ายอัยการพิเศษฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหาทั้งหมด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 อ้างเหตุพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งตนและผู้เสียหายโต้ว่าเจตนาหลักของคดีคือ “ก่อสร้างไม่ตรงแบบ อ.1” ซึ่งสะท้อนการโฆษณาชวนเชื่อและการขายไม่ตรงตามที่ตกลง มิใช่เพียงประเด็นความแข็งแรงของตัวบ้านตามที่ถูกซักถามในชั้นสอบสวน พร้อมอ้างประกาศคณะกรรมการอัยการ พ.ศ.2563 ว่า สำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯ ดูแลเฉพาะคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ไม่ครอบคลุมคดีอสังหาริมทรัพย์หรือฉ้อโกงจากการขายบ้านจัดสรร การส่งสำนวนไปยังหน่วยงานที่ไม่ตรงอำนาจจึงอาจเป็นการตีความคลาดเคลื่อน


ต่อมา ระหว่างวันที่ 11 มกราคม–8 มีนาคม 2567 ตนและกลุ่มผู้เสียหายรวมเงินกว่า 100,000 บาท ได้ว่าจ้างวิศวกรตรวจสอบโครงสร้างโดยละเอียดเพื่อใช้ยื่นฟ้องเองต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยผลตรวจชี้ว่าพื้นชั้น 2 ส่วนหน้าบ้านตามแบบอนุญาตควรมีคานแต่ของจริงไม่พบ และบันไดถูกเปลี่ยนวัสดุจากคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นเหล็กและแผ่นไม้ ซึ่งเบี่ยงเบนจากแบบอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ศาลทรัพย์สินฯ มีคำสั่ง “ไม่รับฟ้อง” เหตุคดีอยู่นอกเขตอำนาจเพราะเป็นเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่คดีทรัพย์สินทางปัญญาหรือการค้าระหว่างประเทศ

ตนและกลุ่มผู้เสียหายจึงยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 และพนักงานสอบสวนได้ส่งคำร้องไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีหนังสือแจ้งผล ทั้งที่ตนติดตามหลายครั้ง จึงถูกมองว่าเป็นการเพิกเฉยต่อหน้าที่และอาจกระทบสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 เวลา 14.00 น. ได้เดินทางไปติดตามคดีที่สำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการและเกิดการโต้เถียง โดยผู้เสียหายอ้างว่าพนักงานอัยการระบุทำนองว่า “ราชกิจจานุเบกษาไม่สำคัญเท่าดุลพินิจของอัยการ” พร้อมให้เหตุผลว่ายังอยู่ในกรอบเวลา 10 ปีจึงไม่จำเป็นต้องรีบรื้อฟื้น ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่อิงหลักกฎหมายและเจตนารมณ์ของกระบวนการยุติธรรม และย้ำว่าคดีเคยถูกส่งไปยังหน่วยงานที่ไม่ตรงเขตอำนาจมาแล้ว ขณะที่เมื่อตนฟ้องเองต่อศาลทรัพย์สินฯ ก็ถูกไม่รับคำฟ้องเพราะ เขตอำนาจไม่ตรง


นายณภรัก กล่าวอีกว่า สิ่งที่เจ็บปวดคือโครงการใช้แบรนด์ทำการตลาด แต่บ้านจริง “ไม่มีคาน” และยังพยายามให้ผู้ซื้อเซ็นแก้เอกสารให้ตรงกับสภาพก่อสร้างภายหลัง แก้กระดาษให้ตรงกับปูน ซึ่งตนไม่ยินยอม แม้โครงการจะเสนอแก้บันไดเหล็กให้เป็นปูนแต่เกรงจะเกิดปัญหาในอนาคตจึงไม่ตกลง
ด้านนายปภัสรพงษ์ ปั้นทอง อายุ 69 ปี ผู้เสียหายอีกราย เล่าว่า เดิมตั้งใจซื้ออีกโครงการแต่จองเต็ม พนักงานขายจึงชวนมาซื้อโครงการใหม่อ้างว่าเหลือ “หลังสุดท้าย” และต่อเติมได้ ภรรยาจึงโอนจอง 50,000 บาท ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นบ้านจริง กระทั่งพบว่าบ้านติดบ่อบำบัดน้ำเสีย ก่อนตัดสินใจซื้อราคา 3,990,000 บาท ภายหลังพบแบบแปลนไม่ตรง ไม่มีคาน พื้นทรุด ทำให้ครอบครัวเครียด ภรรยาล้มป่วย ตนเองอายุมากแล้วเพียงอยากอยู่บ้านอย่างสงบแต่กลับต้องยอมรับสภาพ ตนยืนยันไม่ต้องการย้ายออก แต่ต้องการให้รื้อและก่อสร้างให้ตรงแบบ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐยืนข้างประชาชน ไม่ใช่โอบอุ้มผู้ประกอบการ


นายณธัชพงศ์ บุญเกิด หรือ “ทนายกบ” เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพิจารณาดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการโครงการ หน่วยงานรัฐที่ละเลยต่อหน้าที่ หรือบุคคลใดที่มีพฤติกรรมข่มขู่ผู้เสียหาย โดยเห็นว่าคดีนี้จะเป็นบทพิสูจน์การบังคับใช้กฎหมายในภาคอสังหาริมทรัพย์และการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
ทนายกบ ระบุเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบการโฆษณาชวนเชื่อโดยอาศัยความน่าเชื่อถือของแบรนด์หลอกขายบ้านทั้งที่ก่อสร้างไม่ตรงแบบ อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนช่วยปกปิด ไม่ปรากฏเอกสารรับรองการตรวจสอบก่อสร้าง โดยพฤติการณ์อาจเข้าข่ายความผิดหลายประการ อาทิ การกระทำเป็นขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน การนำข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ การโฆษณาเกินจริง การก่อสร้างไม่ตรงแบบและไม่มีการตรวจสอบจากรัฐ รวมถึงความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องโฆษณา พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ตลอดจนการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 420 และ 423 นอกจากนี้ยังกล่าวอ้างถึงพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการบางรายที่อาจใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ช่วยเหลือให้นายทุนและผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องรับโทษ ขัดต่อพระราชบัญญัติอัยการฯ และประกาศคณะกรรมการอัยการว่าด้วยอำนาจหน้าที่หน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.2563 ข้อ 7 (8) และ (28) ตลอดจนหลักการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งหากพิสูจน์ได้อาจเข้าข่ายการประพฤติมิชอบร้ายแรง


หลังจากนี้ตนจึงเตรียมรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อยื่นขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับเป็นคดีพิเศษ พร้อมส่งเรื่องถึง ป.ป.ช., ป.ปท., ผู้ตรวจการแผ่นดิน, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องและดำเนินคดีตามกฎหมาย “เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” ทั้งนี้คดีอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานและติดตามความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปครับ
อ่านแล้ว2225 times!