“ภูมิธรรม” เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat)

แบ่งปันข่าวนี้ :

“ภูมิธรรม” เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) พร้อมร่วมประชุมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคง กับรมว.กลาโหม ของประเทศอาเซียน ณประเทศมาเลเซีย

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า นาย ภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อม ปลัดกระทรวงกลาโหม นำคณะผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Ministers’ Meeting Retreat: ADMM Retreat) ระหว่างวันที่ 25 – 27 ก.พ. 68 ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือประเด็นด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และผลักดันแนวทางความร่วมมือด้านกลาโหมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

การประชุมครั้งนี้ถือเป็น เวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมจาก 11 ประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมด้วยเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วม โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับ การเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน และความร่วมมือเพื่อรับมือกับ ความท้าทายด้านความมั่นคงในอนาคต รวมถึงแนวทางการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในบริบทการป้องกันประเทศในการประชุมฯ ครั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงในที่ประชุม ว่าความท้าทายด้านความมั่นคง ได้ทวีความซับซ้อนและมีลักษณะข้ามพรมแดน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง รวมถึงปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ขณะเดียวกันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ยังส่งผลต่อพลวัตด้านความมั่นคงโดยเฉพาะภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ไร้พรมแดนและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
รัฐบาลไทย ได้ให้ความสำคัญเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรก คือ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งได้ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน โดยฝ่ายทหารของอาเซียน มีศักยภาพในหลายด้านที่สามารถสนับสนุนความพยายามของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือของฝ่ายทหารอาเซียนในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การลาดตระเวน เฝ้าตรวจ รวมทั้งการปฏิบัติการทางไซเบอร์เรื่องที่สอง คือ ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งรวมถึงปัญหา PM 2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นมากในปัจจุบัน อันเป็นผลจากไฟป่าและการเผาพื้นที่ทางการเกษตร เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งฝ่ายทหารของอาเซียนนั้น ถือว่ามีศักยภาพที่สามารถสนับสนุนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการใช้ขีดความสามารถในการเฝ้าตรวจจุดความร้อนและไฟป่า รวมถึงการสนับสนุนหน่วยงานพลเรือนที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนเรื่องที่สาม เป็นเรื่องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในบริบทด้านการป้องกันประเทศ โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วม และตอบสนองต่อความท้าทายที่มีความสลับซับซ้อนในปัจจุบัน อาทิ การเฝ้าตรวจชายแดน การสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการสนับสนุนการบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ในบริบทการป้องกันประเทศ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียนต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ผ่านกิจกรรม อาทิ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสนับสนุนทางเทคนิค จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้หารือทวิภาคีกับพล.ท.ซาฟรี ซามซุดดิน รมว.กลาโหมอินโดนีเซีย โดยทั้งสองได้กล่าวถึงความร่วมมือที่ได้มีการพัฒนาขึ้นในหลากหลายมิติ รวมถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการป้องกันประเทศผ่านการฝึก หรือการส่งเสริมความร่วมมือด้านมนุษยธรรมและภัยพิบัติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวว่าไทยยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือด้านการแพทย์ทหารอาเซียน ที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นความร่วมมือที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบกับภัยพิบัติในพื้นที่ต่างๆได้

นอกจากนี้ทั้งสองท่าน ยังได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านใหม่ๆ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เนื่องจากว่าปัจจุบันทั้งสองประเทศนั้น ได้ส่งเสริมการเพาะปลูกในพื้นที่ของกองทัพมากขึ้น

ส่วนการหารือทวิภาคีกับประเทศที่สี่นั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกับกิลเบริ์ต ทิโอโดโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฟิลิปินส์ ซึ่งทั้งสองท่าน ได้ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ ที่มีมายาวนานกว่า 70 ปี ซึ่งในส่วนของกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศนั้น ได้มีความร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกันและกัน

โดยรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมของไทย ได้กล่าวเสริมว่า อยากให้ฟิลิปปินส์ ช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ในการรับมือกับภัยพิบัติ ให้กับประเทศในอาเซียน โดยใช้กลไกความร่วมมือของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ในการเตรียมพร้อมรับมือและช่วยเหลือประเทศที่ต้องประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้หารือด้วยคือ และพล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกัมพูชา ซึ่งทั้งสองได้กล่าวยินดี ที่ได้มีโอกาสพบปะและพูดคุยกันในครั้งนี้ ซึ่งความร่วมมือในกรอบต่างๆนั้น จะส่งผลประโยชน์ต่อความแน่นแฟ้นของประชาชนทั้งสองประเทศ

อย่างไรก็ตามนายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย – กัมพูชา หรือ GBC ครั้งที่ 17 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในห้วงเดือนมีนาคม ว่าไทยพร้อมให้การต้อนรับคณะกัมพูชาอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ไทยอยากจะขอความร่วมมือกับกัมพูชา เกี่ยวกับการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งยาเสพติด ค้ามนุษย์ และคอลเซ็นเตอร์ ที่อยากจะให้เป็นลักษณะของการร่วมมือกันมากกว่าเป็นเพียงประเทศใดประเทศหนึ่งที่ดำเนินการ โดยอยากให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้สามารถร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรม

การเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สะท้อนบทบาทของไทยในการเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำความจำเป็นในการยกระดับการประสานงานและความร่วมมือ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่มีร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดถือวิสัยทัศน์ที่มุ่งไปข้างหน้า และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายของความมั่นคงแบบองค์รวม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

//////////

อ่านแล้ว762 times!

แบ่งปันข่าวนี้ :

You May Also Like

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.