ดร.แก้ว”ร่วมประชุม กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด

แบ่งปันข่าวนี้ :

“ดร.แก้ว”ร่วมประชุม กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พิจารณาศึกษาเรื่องร้องเรียนกรณี บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน อันเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน

โดยคณะ กมธ.มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะ กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พร้อม นายปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ (ดร.แก้ว) เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด และคณะแถลงผลการพิจารณาศึกษาเรื่องร้องเรียนกรณี บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน อันเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งคณะ กมธ.ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เสียหายเข้าร่วมประชุม โดยได้รับข้อมูลว่า บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประเภทที่ 1 แบบไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง จากสำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็นโครงข่ายเสมือนหรือ MVNO โดยเช่าโครงข่ายจาก บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) และได้ขออนุญาตจดทะเบียนประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อปี พ.ศ. 2565 เพื่อจำหน่ายสินค้าน้ำดื่ม ต่อมาได้ยื่นขอเพิ่มผลิตภัณฑ์สินค้าเป็นอาหารเสริม เสื้อผ้า และเครื่องสำอาง ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 สำนักงาน กสทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีบริษัท เคโฟร์ฯ มีการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนลงทุนผ่านแอปพลิเคชันภายใต้การให้บริการ MVNO ในชื่อโครงการ “ซิมปันสุข” เพื่อทำการตลาดและกระจายซิมการ์ด แต่บริษัท เคโฟร์ฯ ดำเนินการผิดเงื่อนไขในการอนุญาตเนื่องจากมีลักษณะจูงใจผู้ใช้บริการโดยมอบผลประโยชน์ตอบแทนในลักษณะธุรกิจเครือข่าย ซึ่งประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนถูกหลอกให้ลงทุนได้แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้บริหาร บริษัท เคโฟร์ฯ ปัจจุบัน กสทช. ได้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ กสทช. เพื่อพิจารณาให้บริษัท เคโฟร์ฯ สิ้นใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ด้วยเหตุถูกดำเนินคดีอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา

ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท เคโฟร์ฯ มีพฤติการณ์เข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เพราะมีการชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุน และเสนอผลตอบแทนในอัตรา 72 บาท ต่อวัน จำนวน 500 วัน คิดเป็นร้อยละ 219 ซึ่งเกินจากอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนด และบริษัทได้นำเงินที่ชักชวนมาลงทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ลงทุนรายอื่นด้วย ดังนั้นจึงเข้าข่ายการให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะเป็นพยานในคดีนี้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในวงกว้าง จึงมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ดังนี้

  1. ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งความได้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ
  2. ขอให้สำนักงาน กสทช. เร่งรัดพิจารณาเพิกถอนการระงับใบอนุญาตการประกอบกิจการโทรคมนาคมของบริษัท เคโฟร์ฯ โดยเร็ว เพื่อมิให้หลอกลวงประชาชนรายอื่น
  3. ขอให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุให้ชัดเจนว่ามีการกระทำความผิดเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
  4. ขอให้เลขาธิการ ปปง. ใช้อำนาจตามมาตรา 48 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้บริหาร บริษัท เคโฟร์ฯ โดยเร็ว เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดโอน จำหน่าย ยักย้าย ซ่อนเร้นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และประกาศให้ผู้เสียหายยื่นขอรับการคุ้มครองสิทธิต่อไป
  5. ขอให้ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ เพื่อนำใบแจ้งความเป็นหลักฐานในการยื่นขอคุ้มครองสิทธิ โดยยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหายต่อสำนักงาน ปปง. ภายใน 90 วัน หลังจาก ปปง. ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการยื่นคำร้องดังกล่าว เพื่อขอรับการเฉลี่ยเงินคืน

อ่านแล้ว800 times!

แบ่งปันข่าวนี้ :

You May Also Like

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.