ร.ต.อ.จรัญภณ กำจัดภัยพาล รอง สว.สส. สภ.เทิง จากนักรบเหรียญราชการชายแดนและเหรียญพิทักษ์เสรีชน สู่นักสืบมือฉมังของ

แบ่งปันข่าวนี้ :

ร.ต.อ.จรัญภณ กำจัดภัยพาล รอง สว.สส. สภ.เทิง จากนักรบเหรียญราชการชายแดนและเหรียญพิทักษ์เสรีชน สู่นักสืบมือฉมังของ สภ.เทิง ภ.จว.เชียงราย

ยอดตำรวจนักสืบน้ำดีอีกหนึ่งท่านที่ใช้ชีวิตอย่างโชกโชนทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ที่ชาวบ้านต่างร่ำลือถึงความเที่ยงตรง มีน้ำใจ และมีอุดมการณ์ในการทำงานเป็นผู้พิทักษ์สันติราชด้วยใจเกินร้อย อย่าง ร.ต.อ.จรัญภณ กำจัดภัยพาล อายุ 56 ปี รอง สว.สส. สภ.เทิง ภ.จว.เชียงราย บช.ภ.5
ชีวืตในวัยเด็กของ ร.ต.อ.จรัญภณ กำจัดภัยพาล เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนที่สุดของหมู่บ้านใน จ.น่าน กำพร้าพ่อมาแต่ 4 ขวบ หลังเลิกเรียนหรือวันหยุดต่างๆต้องช่วยแม่ทำงานในไร่ในสวน อยากเล่นกีฬาแต่ไม่มีเวลาได้เล่น ชอบร้องเพลงและชอบดนตรีแต่สมัครเข้าวงดนตรีโรงเรียน(มัธยม)ไม่ได้ ไม่มีจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ขี่ ตอนเรียน ม.ต้น ต้องเดินไปเรียน ไป-กลับวันละ 6 ก.ม. พอมาม.ปลาย เดินไปขึ้นรถที่ตัวอำเภอ 3 ก.ม. และโหนรถเมล์ไปอีก 16 ก.ม. ได้ตังค์แค่พอค่ารถค่าข้าว ไม่มีขนมนมเนยให้กินอย่างคนอื่นเขา แต่ยังดีที่มีแม่และพี่ๆคอยช่วยเหลือประคับประคองให้เรียนจนจบ ถึงแม้นอกเวลาเรียนจะไม่มีเวลาเล่นกีฬาและเฮฮากับเพื่อนๆแต่เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ถ้ามีเวลาว่างในช่วงพักกลางวันหรือมีคาบว่างจะมุ่งไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุดโรงเรียนเสมอๆ แม้แต่ขณะเดินไปโรงเรียนพบเห็นเศษกระดาษตกข้างทางก็จะเก็บขึ้นมาอ่าน จากความยากลำบากในวัยเด็ก-วัยรุ่นทำให้เกิดแรงฮึดว่าจะต้องเรียนให้สูงๆและสอบเป็นข้าราชการมีเงินเดือนกินเพื่อดูแลแม่และพี่ๆให้ได้ และด้วยความที่เป็นเด็กที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากค่ายทหาร โตมากับเสียงนับเท้าออกกำลังกายของทหาร เสียงแตรปลุก แตรนอน ทำให้ฮึกเหิมอยากเป็นทหาร ชอบความมีระเบียบวินัย ชอบเครื่องแบบเพราะทำให้ดูเท่ อยากเป็นนักรบเพื่อปกป้องประเทศชาติ


ม.ต้นจึงสมัครเข้าชมรมลูกเสือ ม.ปลายอยากเรียน รด. แต่ไม่มีเงินตัดเครื่องแบบ พอจบ ม.ปลายถึงเวลาเกณฑ์ทหารก็เลยสมัครเป็นทหารเกณฑ์ 1 ปี สังกัด ม.พัน 10 ผลัดที่ 1/2530 ทั้งๆที่มีแต่คนไม่อยากเป็นเพราะการฝึกทหารใหม่ในสมัยก่อนจะหนักและโหดมาก แต่เรากลับสมัครใจเอง ทำให้ ได้ความรู้เกี่ยวกับยุทธวิธีการรบ การใช้อาวุธ การต่อสู้ป้องกันตัว การดำรงชีพในป่า ฯลฯ จนผ่านการฝึกทหารใหม่และขึ้นประจำการในกองร้อยรบ และในปี 2530ต่อเนื่อง2351 เกิดการรบที่สมรภูมิบ้านร่มเกล้า อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมรบกับเพื่อนๆและผู้บังคับบัญชา ได้กินข้าวเคล้าเสียงปืน เสียงระเบิด ได้กินข้าวแห้งแช่น้ำเพราะโดนตัดเส้นทางลำเลียงอยู่ 2-3 วัน หลังปลดเกณฑ์ก็ได้รับเหรียญราชการชายแดนและเหรียญพิทักษ์เสรีชนมาประดับบนอกอย่างภาคภูมิใจ


จากนั้นในปี 2531 ก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนนักเรียนพลตำรวจได้รับราชการตามที่ฝันเอาไว้ เรียนครบ 1 ปี มีการสอบเพื่อเลือกตำแหน่ง สอบได้ลำดับต้นๆมีโอกาสเลือกลงภูธร/นครบาลได้ แต่ด้วยความที่ชอบความเป็นนักรบ จึงเลือกลงตำรวจตระเวนชายแดนโดยสมัครใจเป็นคนแรกในรุ่นสร้างความแปลกใจและฮือฮาในห้องประชุมวันเลือกตำแหน่งเป็นอันมาก เพราะใครๆก็ไม่อยากลงตชด.เขากลัวการอบรมปรับพื้นฐานของหลักสูตรต่อต้านปราบปรามการก่อความไม่สงบ(ตปส.) ซึ่งฝึกหนักฝึกโหดมากๆ และจบมาแล้วยังต้องทำงานในพื้นที่กันดาร เสี่ยงภัยอีก


และเริ่มลงเรียนทางไกลระดับปริญญาตรีนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย อยู่บก.ตชด.ภาค 1 มา 4 ปีก็มีโอกาสย้ายกลับบ้านที่เหนือ ย้ายมาสังกัด บก.ตชด.ภาค 3 กก.ตชด.32 พะเยา โดย 2 ปีแรกปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหมวดสนามและทำงานดูแลหมู่บ้านตามแนวชายแดน ได้เห็นการเรียนการสอนของครู ร.ร.ตชด.ก็รู้สึกชอบจึงสมัครใจไปเป็นครู ได้ซื้อคีย์บอร์ดเล็กๆมา 1 ตัวเพื่อเติมความฝันในวัยเด็กและได้นำมาประกอบการสอนทำให้เด็กๆสนุกสนานและชอบมาก ได้มีเวลาว่างเล่นตะกร้อกีฬาโปรด ได้อยู่คลุกคลีอยู่ร่วมกับชนเผ่าต่างๆทำให้ได้เรียนรู้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้านในพื้นที่เพื่องานด้านการข่าว จึงทำให้เรามีประสบการณ์และชอบงานมวลชนขึ้นมา จนติดยศ ส.ต.ท. ก็เรียนจบปริญญาตรี แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบลุยๆก็เลยไม่ลงจากดอย ไม่คิดจะไปสอบนายตำรวจ ยังคงตะลอนไปตามแนวชายแดน ย้ายไปสอนอีก 3 โรงเรียน ซึ่งก็ได้สัมผัสกับนักเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไปตามบริบท จนกระทั่งอายุ 48 ปี เป็นครูมา 13 ปี ตอนนั้นติดยศดาบตำรวจละรู้สึกว่าเริ่มแก่ตัวก็มาคิดว่าถึงเวลาที่ต้องลงจากดอย แต่ในสมัยนั้นจะออกจากครูแสนยาก จึงมุมานะอ่านหนังสือและลงไปติวที่สำนักติวบาลานซ์ กทม.ถึง 4 เดือน โดยต้องนั่งรถทัวร์ไปเย็นวันศุกร์กลับเย็นวันอาทิตย์จนทำให้สามารถสอบเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรได้ในรุ่น กอร.ปป. 7000/2 ของ ตำรวจภูธร ภาค 5 และสอบออกได้ที่ 6 จากในรุ่นทั้งหมด 124 คน ลงจากดอยมาอยู่ภูธร ตำแหน่ง รอง สวป.สภ.แม่จัน เชียงราย ซึ่งนอกเหนือจากงานหลักสายป้องกันปราบปรามเช่นเป็นหัวหน้าชุดสายตรวจ/ด่านตรวจแล้วก็ยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้างานมวลชนสัมพันธ์อีกด้วย จึงมีเวลาฝึกเล่นดนตรีและมีโอกาสร้องเพลงตามงานต่างๆ และยังมีเวลาได้ออกกำลังกายเล่นตะกร้อกีฬาโปรด พาทีมร่วมแข่งขันในระดับจังหวัดและตามงานต่างๆ ร่วมเล่นกับชาวบ้านและหน่วยงานข้างเคียงทำให้ได้เข้าถึงชาวบ้านและรู้สึกสนุกกับงานเป็นอันมาก จนในปัจจุบันได้ย้ายมาทำงานในตำแหน่งสืบสวนเราก็ยังคงชอบในดนตรีและกีฬา โดยเฉพาะการเล่นคีย์บอร์ดและตะกร้อถึงแม้จะเล่นไม่ถึงขนาดมืออาชีพแต่ก็ทำให้เราเล่นได้ในระดับหนึ่ง ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน ได้ฝึกสติมี สมาธิสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้ดี อีกทั้งยังทำให้ผ่อนคลายและได้มวลชนเพิ่มมากขึ้น จึงตั้งใจไว้ว่านอกเหนือจากงานในหน้าที่ประจำแล้วจะเล่นดนตรีและกีฬาต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะเล่นไม่ได้


ร.ต.อ.จรัญภณ กำจัดภัยพาล รอง สว.สส. สภ.เทิง เล่าว่า อาชีพตำรวจนี้เป็นอาชีพที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด จึงให้ได้ทั้งคุณและโทษ จึงมีทั้งคนรักและคนเกลียดเพราะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งบางครั้งก็อาจสร้างความอึดอัดไม่พอใจให้กับคนในสังคมไม่เว้นแม้แต่สุจริตชน อีกทั้งเรามีระเบียบวินัยมาเป็นกรอบในการทำงานในการปฏิบัติตัวมีกฎหมายต่างๆมีประชาชนมีสื่อมวลชนคอยจับตาดูอยู่ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลต์ ฉะนั้นเราก็ต้องวางตัวให้เหมาะสม เวลาทำงานก็ต้องอิงหลักกฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ต่างๆ จะใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมาปฏิบัติหรือมาตัดสินไม่ได้ บางครั้งก็อาจมีความกดดันบ้างแต่เราก็ต้องใช้สติ มีความอดทนตามที่เราได้รับการอบรมบ่มเพาะมาจากสถาบันตำรวจของเรา สำหรับอุดมคติในการทำงานก็คือ จะใช้หลักรัฐศาสตร์ควบคู่ไปกับนิติศาสตร์ โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและไม่เกิดความเสียหายต่อหน่วยงาน ต่อรัฐ ให้เกิดความสงบสุขในสังคมให้มากที่สุด


เราอยู่ในสังคมอยู่กับคนหมู่มากก็ต้องมีกฎหมายมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่มากำกับดูแลในการอยู่ร่วมกัน เพราะถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มากำกับสุจริตชนก็จะอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากในสังคมย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีที่จ้องจะเอาเปรียบ จ้องฉวยโอกาสคนอื่นๆอยู่เสมอๆซึ่งก็มีอยู่เยอะมีอยู่แทบทุกที่
การเป็นตำรวจ ไม่ใช่แค่ใจพร้อมเท่านั้นยังต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อย่าไปยุ่งกับสิ่งเสพติดและสิ่งของผิดกฎหมายต่าง เพราะหากเป็นคนที่มีประวัติแล้วจะมาเป็นตำรวจลำบาก และเมื่อได้เข้ามาแล้วต้องมีจิตใจที่มั่นคง หนักแน่น อดทน อดกลั้นกว่าบุคคลทั่วไปหลายเท่า ต้องแม่นระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ ต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอทั้งทางยุทธวิธีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต้องบริการประชาชนให้เสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติของเราเอง
นับเป็นความโชคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค5 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ที่มีนายตำรวจน้ำดีเช่นนี้ปฏิบัติหน้าที่อยุ่

อ่านแล้ว178 times!

แบ่งปันข่าวนี้ :

You May Also Like

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.